จุดประกายสิ่งใหม่ เพื่อนักท่องเที่ยวหัวใจ Young at Heart กับงานประชุม TRENZ 2016 ตอนที่ 2 (Self Drive Famil Trip Program)
POST TRENZ FAMIL TRIP
Report by Suwadee Sukpraseart
ระยะเวลาเดินทาง 14-19 พฤษภาคม 2559
Christchurch – Lake Tekapo – Dunedin – Te Anau – Milford Sound – Queenstown
14 พ.ค. 59
ก่อนอื่นต้องแจ้งให้ทราบว่า โปรแกรมนี้ถูกจัดขึ้นโดย Pan Pacific Travel New Zealand เป็นโปรแกรมการเดินทางแบบ Self-drive โดยมีเพื่อนร่วมทางจากทั้งหมด 4 ประเทศด้วยกันคือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย พร้อมกับผู้ดูแลคณะจาก Pan Pacific Travel New Zealand อีก 3 ท่านได้แก่ Greig, John และ Ann Teo รวมเป็นคณะใหญ่ 11 ท่านด้วยกัน ข้าพเจ้าทราบมาจากการอ่านโปรแกรมคร่าว ๆ ขอย้ำ “คร่าว ๆ” เท่านั้นว่าเราจะใช้รถ 2 คัน เป็นรถขนาด 8 ที่นั่ง 1 คันและรถตู้อีก 1 คัน สำหรับการเดินทางยาวนานนี้
เวลา 07.00 น. ตรงเผง ข้าพเจ้าลากกระเป๋าเดินทางสี่ล้อ ขนาด 29 นิ้ว น้ำหนักกว่า 23 กก.พร้อมด้วยกระเป๋าผ้าขนาดใหญ่หนักกว่า 7 กก.ออกมารอคณะที่ล๊อบบี้ของโรงแรม Sudima Hotel Rotorua โรงแรมดี บริการเยี่ยม ที่ข้าพเจ้าอยากนอนพักยาว ๆ อีกซักคืนที่นี่ หลังจากใช้เป็นที่ซุกหัวนอนมาตลอด 4 คืน… สิบห้านาทีถัดมาเราทุกคนก็พร้อมออกเดินทางไปยังสนามบินเมืองโรโตรัว ดูจากภาพแล้วก็จะรู้เองว่า สนามบินขนาดเล็กนี่เล็กดีจริง ๆ นะ ด้านในมีบริการเสิร์ฟชา กาแฟ ช็อกโกแลตร้อนให้กับผู้โดยสารด้วย ถือเป็นเรื่องราวอีกจุดเล็ก ๆ ที่ข้าพเจ้าประทับใจอย่างมาก ข้าพเจ้าไม่ได้ขอเค้าลองทานเลยซักแก้ว เพราะอิ่มมาจากโรงแรมแล้ว แต่ขอถ่ายรูปพนักงานน่ารักเอาไว้ได้ 1 รูปเท่านั้นเอง
เวลา 08.55 น. คณะเราทั้ง 11 คน ออกเดินทางด้วยสายการบินแอร์นิวซีแลนด์ เที่ยวบินที่ NZ5863 จากเมืองโรโตรัวมุ่งหน้าไปยังเมืองไคร้สท์เชิร์ต เครื่องบินลำเล็กกระจิ๋วหลิว ทำเอาข้าพเจ้าในสั่นไม่น้อย บนเครื่องบินก็มีบริการทุกอย่าง แต่เนื่องจากเป็นเครื่องบินระหว่างเมืองระยะสั้น ใช้เวลาเดินทางน้อยมาก จึงไม่มีอาหารร้อนเสิร์ฟบนเครื่อง มีเพียงคุ้กกี้ น้ำดื่ม กับลูกอมไว้ทานแก้เลี่ยนเท่านั้น ระหว่างเดินทาง เครื่องบินตกหลุมอากาศเป็นระยะ ตื่นเต้นไม่น้อย
ประมาณ 1 ชม. 20 นาที เนื่องจากสภาพอากาศไม่ค่อยดีมากนัก เราทุกคนก็เดินทางมาถึงสนามบินไคร้สท์เชิร์ต อย่างปลอดภัย ระหว่างรอกระเป๋าเดินทางโหลดลงมา เราก็พบกับทีมฟุตบอล ทีมหนึ่งของนิวซีแลนด์ ข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้แล้ว ถ้าใครพอทราบช่วยแจ้งข้าพเจ้าหลังไมค์ จะขอบคุณอย่างมากทีเดียว
กระเป๋าใช้เวลานานพอสมควร อาจเป็นเพราะที่นี่เป็นสนามบินนานาชาติที่มีใหญ่กว่าสนามบินโรโตรัวมากพอสมควร จึงมีการบริหารจัดการที่เข้มงวดกว่ามาก ทุกอย่างเลยดูล่าช้าไปหมด หรือข้าพเจ้ารีบกันแน่นะ…
หลังจากได้กระเป๋ามาแล้ว ก็จำต้องบอกลาพ่อนักกีฬาฟุตบอลหุ่นล่ำบึ้ก วิ่งเร็วจู๊ดไปที่เคาน์เตอร์รับรถบริษัท HERTZ ทันที ข้าพเจ้าอยากรู้อยากเห็นไปหมดว่าขั้นตอนการรับรถมีอย่างไรบ้าง ประกันการเดินทางมีกี่แบบ แต่ด้วยความรีบเร่งของทั้งคณะ ทำให้ John ปลีกตัวมาจัดการรับรถอย่างเงียบ ๆ เพียงลำพังเรียบร้อยแล้ว
เราได้รับกุญแจรถตู้ และรถมินิแวน 8 ที่นั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ลากกระเป๋าออกไปที่รถเตรียมเดินทางกันได้เลยจ้า จากขั้นตอนการแสดง VOUCHER จองรถ โชว์ใบขับขี่ เซ็นต์เอกสารต่าง ๆ ใช้เวลาไม่นานมากนัก แต่อย่างไรก็ตามเพื่อน ๆ ที่ต้องรับรถก็ต้องตะหนักเอาไว้เสมอว่า เอกสารหรือข้อตกลงใด ๆ ที่เราไม่มุ่งหมายจะใช้บริการ เช่นประกันรถชั้นต่าง ๆ เป็นต้น เราก็อย่าเซ็นต์สุ่มสี่สุ่มห้านะจ๊ะ เพราะการรับรถจะต้องรูดบัตรเครดิตเป็นการการันตีรถเอาไว้ด้วย ถ้าเซ็นต์ซื้ออย่างอื่นเพิ่ม เงินก็จะถูกชาร์ตเอาไป ต้องมานั่งตามที่มาที่ไปกันทีหลัง เหนื่อยเลยนะ…
รถที่ได้มา ก็เป็นยี่ห้อ Toyota และรถมินิแวน 8 ที่นั่งได้เป็นยี่ห้อง Kia Carnival รถคันนี้นั่งกัน 5 คน พร้อมกระเป๋าเดินทางก็กำลังดีเลยทีเดียว ถ้านั่ง 6 ท่านพร้อมกะเป๋าเดินทางใบใหญ่ ๆ อาจจะดูคับแคบ อึดอัดไปซักหน่อย
หลังจากจัดข้าวของ จัดที่นั่งกันลงตัวเรียบร้อยแล้ว เราเริ่มออกเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองไคร้สท์เชิร์ต และจุดมุ่งหมายแรกของเราคือ เข้าเยี่ยมชมโรงแรม Break Free on Cashel โรงแรม 3 ดาวแห่งใหม่ใจกลางเมืองไคร้สท์เชิร์ต ด้วยการออกแบบสไตล์โมเดิร์น และสถาปัตยกรรมที่สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้อย่างดีในอนาคต ทำให้โรงแรมแห่งนี้ กำลังเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นในทุกวัน
เมื่อเยี่ยมชมห้องต่าง ๆ ของทางโรงแรมเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินเท้าเยี่ยมชมตัวเมืองกันเล็กน้อย ในบริเวณนั้น เราสามารถเดินเที่ยวเล่น ช้อปปิ้งที่ Re: Start Mall หรือ Quake City ในเมืองไคร้สท์เชิร์ต เราสามารถจอดรถและขึ้น Tram ชมเมืองได้อย่างทั่วถึง เพราะขณะนี้ตัวเมืองได้รับการบูรณะขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี 2010 และ 2011 มากเกือบบริบูรณ์แล้ว และนักท่องเที่ยวก็กลับมาคึกคักดังเดิม สมกับเป็นเมืองที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในเกาะใต้
ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น ยังเดินได้ไม่ทั่วถึงเท่าไหร่นัก ก็ต้องออกเดินทางต่อ ตามกำหนดการที่ค่อนข้างแน่น เราออกจากเมืองใหญ่เพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองทะเลสาปเทคาโป หรือรู้จักกันในชื่อ Lake Tekapo ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากเมืองไคร้สท์เชิร์ตราว ๆ 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว ขับรถชมวิวสวยงามของเกาะใต้ไป คนนั่งรถนาน ๆ ก็หลับบ้างตื่นบ้าง John จึงได้คิดเกมสนุก ๆ มาให้เราเล่นเพื่อคลายความง่วงกัน ข้าพเจ้าเห็นว่าน่าสนุกดี และ John คงไม่สงวนสิทธิ์หากข้าพเจ้าจะเผยแพร่เกมนี้ ที่มีชื่อว่า ‘Tractor Cricket’
กติกาของ Tractor Cricket มีอยู่ว่า ระหว่างทางที่รถวิ่งไป ๆ หากพบรถ Tractor จอดอยู่เฉย ๆ แล้วใครขานตามสีของ Tractor ว่า ‘Green Tractor’ (ในกรณีที่ Tractor มีสีเขียว) ก็จะได้รับ 1 แต้ม ถ้าพูดช้ากว่าอีกคนก็อดแต้ม หากพบ Tractor กำลังทำงานอยู่ ก็ขานเร็ว ๆ ว่า ‘Green Tractor working’ รับไปเลย 5 แต้ม หากพบร้านขาย Tractor มีจอดขายอยู่หลายคัน ก็ขานว่า ‘Tractor Dealer’ รับไปเลย 10 แต้ม เราเล่นเกมนี้กันทุกวันเลย แต่ข้าพเจ้าไม่เคยชนะ!
ขับรถมานาน ดูรถ Tractor จนตาลายแล้ว หลับบ้างตื่นเต้นกับวิวสองข้างทางบ้าง ในที่สุดก็มาถึงเมืองเลคเทคาโป จนได้ โอย! สูดดมอากาศเย็นเยือกแล้วชื่นใจ อากาศหนาว วิวทะเลสาปเลยอาจไม่สดใสเท่าที่ควรนัก แต่สถานที่ที่สวยงามในตัวมันเองแบบนี้ ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร มันจะยังคงสวยงามอย่างที่มันเป็นเสมอ
เมืองเทคาโป เป็นเมืองเล็ก ๆ ริมทะเลสาบที่สวยงาม ผู้ที่มาเยือนต้องไม่พลาดชมโบสถ์เล็ก ๆ น่ารัก ซึ่งในปัจจุบันยังใช้ในการประกอบพิธีการต่าง ๆ อยู่ตลอด ใกล้กันนั้นมีอนุสาวรีย์สุนัขต้อนแกะ สร้างด้วยทองสัมฤทธิ์ สร้างไว้เพื่อเป็นการยกย่องคุณความดีของสุนัขแสนรู้ แต่ครั้งนี้มันหนาวมากสำหรับข้าพเจ้า ขอไม่เดินไปที่อนุสาวรีย์สุนัขต้อนแกะแล้วกัน
หลังจากที่เรายืนมองความสวยงามของทะเลสาบเทคาโปกันซักพักหนึ่ง อากาศมันหนาวมาก อุณหภูมิน่าจะราว ๆ 8-10 องศาเซลเซียสได้และฟ้าก็เริ่มมืดลง ตามธรรมดาของการย่างเข้าสู่หน้าหนาวในนิวซีแลนด์ พระอาทิตย์จะตกดินราว ๆ 17.30 – 18.00 น. และในตอนเช้าก็สว่างช้ากว่าปกติเล็กน้อย เรามองหน้ากันจากนั้นรีบขึ้นรถ เพื่อไปเช้คอินเข้าที่พัก Peppers Bluewater และ ณ ที่นี้เอง ข้าพเจ้าทำหมวกไหมพรมใบรักหายไป อย่างไร้ร่องรอยใด ๆ…
ห้องพักที่ Peppers Bluewater สวยงามเหมาะกับการมาพักผ่อนเป็นครอบครัว มองเห็นวิวทะเลสาป และอยู่ไม่ห่างจากร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกต่าง ๆ หากมาเที่ยวเมืองนี้ ข้าพเจ้าแนะนำว่าไม่ควรพลาดร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ Kohan Restaurant อยู่ไม่ไกลจากที่พัก และอาหารญี่ปุ่นก็รสชาตอร่อยดี
ตามโปรแกรมของเราในคืนนี้ เราจะต้องทำกิจกรรม Earth and Sky Mt. John Observatory เป็นกิจกรรมดูดาว เหมาะสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพสวย ๆ และหลงใหลความงดงามของหมู่ดาว เพราะที่เมืองเลคเทคาโป ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ท้องฟ้ามืดมิดมากที่สุด คุณสามารถมองเห็นดวงดาว และทางช้างเผือกพาดยาวบนท้องฟ้าสวยงามอย่างมาก และสำหรับคอถ่ายภาพก็มักจะไม่พลาด อดหลับอดนอนเพื่อเก็บภาพกันอย่างแน่นอน เพราะกว่าจะได้ภาพสวย ๆ ก็ต้องรอจนดึกมากแล้ว สำหรับสองภาพสวยด้านล่างนี้ ต้องขอบพระคุณ คุณกฤติน องคนานนท์ เจ้าของภาพถ่ายสวยงามนี้เป็นอย่างมาก ที่กรุณาส่งภาพนี้มาให้ เพื่อหมายใจให้เราอวดความงามแบบ 100% Pure ไม่มีที่ติเช่นนี้กับท่านอื่น ๆ ต่อไป
วันเดินทางอันแสนยาวนาน จบลงในคืนนี้ ในห้องพักแบบ One Bedroom หลังจากข้าพเจ้าต้มมาม่า 1 กระป๋องทานเพราะคิดถึงรสชาตอาหารไทย อธิษฐานขอบคุณพระเจ้าเรียบร้อย ข้าพเจ้าก็หลับไปแบบไม่อ้อยอิ่งแต่อย่างใด ช่างเป็นที่พักที่อบอุ่นสบาย ในคืนอากาศหนาว ต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส ข้าพเจ้ายังคงมีความสุขดี
15 พ.ค. 59
ตื่นขึ้นมาตอนเช้า อย่างไม่มีสิ่งน่ากังขา ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ได้คิดไว้ อากาศหนาวมาก และพระอาทิตย์ยังไม่ยอมขึ้นมา แม้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าใกล้จะแปดโมงเช้าแล้วก็ตาม เราทุกคนเก็บกระเป๋ามาคืนกุญแจ พร้อมรับประทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์กันที่ห้องอาหารเช้าของโรงแรม ข้าพเจ้าไม่นึกอยากรับประทานอะไรเลย นอกจากผลไม้กับนมสดซักแก้ว เพราะยังเช้าอยู่มาก แต่ด้วยประสบการณ์การเดินทางอันยาวไกล ข้าพเจ้ามักหิวระหว่างทาง จึงแอบห่อขนมปังทาแยมเก็บไว้สองแผ่น เผื่อทานระหว่างทางได้
โปรแกรมของเช้านี้ เราจะไปเยี่ยมเม้าท์คุ้กวิลเลจ นั่งเฮลิคอปเตอร์ชมยอดเขาเม้าท์คุ้ก และแวะถ่ายภาพที่จุดชมวิวเลคปูคากิ แต่เนื่องจากอากาศไม่ใคร่ดีนัก ขึ้นเฮลิคอปเตอร์จึงถูกยกเลิกไปอย่างน่าเสียดาย
จุดชมวิวทะเลสาบปูคากิ ทำให้ข้าพเจ้านั่งมองทะเลสาบที่สวยที่สุดในนิวซีแลนด์ สวยจนได้ชื่อว่า Million Dollar View อยู่ได้เป็นนานสองนาน ลักษณะวิวที่มองเห็น คือน้ำในทะเลสาปสีสดใส และมียอดเขาเมาท์คุก เหนือยอดเขามีหิมะและธารน้ำแข็งปกคลุมตลอดปี เป็นฉากหลัง
หลังเสร็จภารกิจเยี่ยมชมโรงแรม The Hermitage โรงแรมระดับ 5 ดาว 1 เดียวในเม้าท์คุ้กแล้ว เราเดินทางกลับลงมา และมุ่งหน้าไปยังเมืองโอมารามา ในทันที เพราะระยะทางอันยาวไกล ‘Tractor Cricket’ จึงกลับมาทวีความตื่นเต้นอีกครั้ง คราวนี้ข้าพเจ้ามีโอกาสนำขึ้นมาบ้าง แต่เดี๋ยว ทางยังอีกยาวไกล ข้าพเจ้าจะประมาทไม่ได้เลย…
เส้นทางที่เราจะขับรถกันวันนี้ ถ้ามองจากแผนที่แล้วก็จะเห็นเป็นเส้นตัดจากตอนกลางของเกาะใต้ พาดยาวมาทางฝั่งตะวันออกของเกาะใต้กันเลยทีเดียว ใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
เมื่อเดินทางมาถึง เราไม่พลาดที่จะเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ เอาใจคนหัวใจพั้งค์ และอินดี้ ๆ หน่อย ที่นี่จะมีธีมที่ปรับเปลี่ยนอยู่เสมอทำให้ไม่น่าเบื่อ มีการนำเอาเครื่องจักรมาดัดแปลงเป็นรูปร่างต่าง ๆ เวอร์ วัง อลังการ ท่านที่ต้องขับรถผ่านเส้นทางนี้ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงกับ ‘STEAM PUNK’
หลังจากเราทุกคน ได้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความสวยงาม และน่าทึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวตลอดสองข้างทาง ในบางส่วนของเกาะใต้มาได้ประมาณครึ่งวันแล้ว ข้าพเจ้าไม่แปลกใจเลยที่จะมีอาการหิว ปนกับเสียงท้องร้องที่ดังมาก ข้าพสั่นหัวแรง ๆ แล้วบอกตัวเองว่า “ใกล้ถึงเวลาได้ทานอาหารแล้ว เดินอีกนิดเดียวเท่านั้น” จาก ‘STEAM PUNK’ ไปยังร้าน Hopf Brew House (ฮอพฟ์บริวเฮ้าส์) สามารถเดินชมร้านรวงต่าง ๆ ไปเพลิน ๆ ได้เลย พิซซ่าของร้านนี้อร่อย เบียร์ก็อร่อยไม่แพ้กัน ข้าพเจ้าเสียดายมาก ๆ ที่ไม่ได้เก็บภาพเอาไว้ ข้าพเจ้าหิวมาก กว่าจะนึกได้ว่าต้องเก็บภาพไว้เสียหน่อย พิซซ่าก็หมดถาด และเบียร์ก็พร่องไปมากแล้ว
หลังจากมื้ออาหาร เรามุ่งหน้าไปยัง Oamaru Blue Penguins ที่นี่เค้าจะดูแล อนุรักษ์และอนุบาลเหล่าเพนกวินสายพันธุ์ที่เล็กที่สุดในโลก “Little Blue Penguin” เอาไว้ และเปิดเป็นสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้ชมวิถีชีวิตของพวกมันยามเย็น ที่กลับจากหาอาหารในทะเล เดินผ่านชายหาดและกลับเข้ารังของมันในทุก ๆ เย็นไม่มีเว้นเลย ที่นี่นอกจากจะได้เห็นเพนกวินน้อยแล้ว แมวน้ำ ก็แอบนอนเอกขเนกแย่งซีนสายตาของนักท่องเที่ยวได้ไม่หยอก ตัวมันดูปุกปุยน่ากอด นอนอาบแดดขี้เกียจทั้งวัน ตามชายหาด และที่เห็นเยอะ ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือฝูงนกนั่นเอง เป็นนกอะไรกันนะ? ข้าพเจ้าลืมถามเจ้าบ้านเสียสนิท…
ที่ Oamaru Blue Penguins นี้ เป็นจุดบริการข้อมูลข่าวสารนักท่องเที่ยว และมีของที่ระลึกน่ารัก ๆ ขายอยู่ไม่น้อย ข้าพเจ้าอยากซื้อตุ๊กตาเพนกวินเก็บไว้ซักตัว แต่ไม่มีโอกาสเลย เพราะมัวแต่ดูในส่วนจัดแสดงรังเพนกวิน ไข่ของพวกมัน จนเวลาหมด ต้องรีบกลับไปที่รถเพื่อเดินทางต่อ
จุดหมายปลายทางของพวกเราวันนี้ก็คือเมืองดันเนดินก็จริง แต่ระหว่างทางที่เราขับรถไปนั้น จะผ่านเส้นทาง Moeraki ในเส้นทางนี้มีสิ่งน่าสนใจอยู่สิ่งหนึ่งตรงชายหาด คือ หินก้อนกลมยักษ์ ที่ตั้งอยู่ตามธรรมชาติ ณ ชายหาดทะเล มันเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติเสียด้วย สายลม และน้ำทะเล เป็นประติมากรเอกของธรรมชาติน่าทึ่งตรงหน้าข้าพเจ้าตอนนี้ และที่ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงคือ เราสามารถเดินลงไปชมได้แบบไม่เสียเงินเลย
ใช้เวลาที่นี่พอประมาณ เราก็ออกเดินทางต่อไปจนถึงเมืองดันเนดิน และมาถึงในเวลาประมาณห้าโมงเย็นพอดี เมื่อมาถึงเราเข้าที่พักเพื่อเก็บสัมภาระกันทันที ที่โรงแรม Scenic Hotel Southern Cross และนัดหมายเวลาลงมาพบกันเวลา 18.30 น.เพื่อเดินเท้าเล็กน้อยไปยังโรงงานงานเบียร์ Speight
เบียร์ยี่ห้อนี้มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมอย่างมากในนิวซีแลนด์ คล้าย ๆ กับเบียร์สิงห์หรือเบียร์ช้างในประเทศไทย เรามาที่นี่เพื่อเยี่ยมชมโรงงานและรับฟังขั้นตอนการผลิตเบียร์ของที่นี่ ในกิจกรรมที่มีชื่อว่า‘ Speight Brewery Tour ’ การเดินชมโรงงานเบียร์นี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. แต่ไฮไลท์ของทัวร์นี้ก็คือ “คุณสามารถชิมเบียร์ 6 ชนิดของที่นี่ได้ไม่อั้นเลย” ช่างเป็นทัวร์ที่เหมาะกับข้าพเจ้าจริง ๆ
หลังจากชิมเบียร์จนหนำใจแล้ว เราทุกคนเริ่มหิวอาหารเย็นมากขึ้น พอจบทัวร์ปุ๊บก็เดินออกมาที่ร้านอาหารข้าง ๆ กัน เป็นร้านอาหารบรรยากาศดี ชื่อ The Speight’s Ale House หลังจากสั่งอาหารที่ตนเองต้องการกันครบทุกคนแล้ว รอไม่นาน อาหารจานอร่อยก็มาเสริร์ฟพร้อม เครื่องดื่มที่คุณเลือก และแน่นอนข้าพเจ้าดื่มแอลกอฮอล์ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ดื่มได้เพียงน้ำเปล่าเท่านั้น…หลังอาหารเย็นก็ไม่ต้องสืบเลย ข้าพเจ้าจมหายไปในเตียงอุ่น และหลับสบายจนถึงเช้า
16 พ.ค.59
รุ่งเช้าวันนี้ อากาศที่ดันเนดินประมาณ 8 องศาเห็นจะได้ ข้าพเจ้าเลือกสวมเสื้อสีแดงสด เพราะโปรแกรมเที่ยวในวันนี้ มีแต่สถานที่สวยงามเหมาะกับการถ่ายภาพอย่างยิ่ง (แม้ข้าพเจ้าจะไม่มีกล้องติดมาก็ตามเถอะ)
โปรแกรมแรกของวัน คือการไปเยี่ยมชมความงดงามของสถานีรถไฟเมืองดันเนดิน ด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์แบบสก็อตทิชนี้เอง ที่ทำให้ภาพสถานีรถไฟแห่งนี้ตราตรึงลงไปในหัวใจของข้าพเจ้าเรียบร้อยแล้วตั้งแต่แรกเห็น ที่นี่เปิดให้บริการตามปกติทุก ๆ วัน แต่ส่วนมากแล้วผู้ใช้บริการจะมีเพียงคนท้องถิ่นเท่านั้น ยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวเท่าใดนัก
หลังจากพบปะพูดคุยเรื่องเส้นทางการให้บริการรถไฟกับเจ้าหน้าที่แล้ว เราก็ได้ทราบว่านอกจากเส้นทางรถไฟยอดฮิต Tranz Alpine ที่เปิดให้บริการจากเมืองไคร้สท์เชิร์ต ไปยังสุดสายที่เมืองเกรย์เม้าท์แล้ว เรายังมีการให้บริการนั่งรถไฟชมวิว เส้นทางดันเนดิน – ควีนส์ทาวน์อยู่ด้วยเช่นกัน วิวทิวทัศน์ก็สวยงามตรึงใจไม่แพ้กัน
จากนั้น เราออกเดินทางต่อไปยัง Cadbury World โรงงานช็อกโกแลตแคดเบอร์รี่แห่งเดียวในนิวซีแลนด์ เพื่อทัวร์โรงงานช็อกโกแลต ซึ่งหากเรายืนอยู่ที่สถานีรถไฟดันเนดิน เมื่อกลับหลังหันไป ก็จะเห็นแทงก์ขนาดสูงใหญ่สีขาวและสีม่วงสดใสตั้งคู่กันตระหง่านอยู่ ระยะทางไม่ไกลจากสถานีรถไฟ สามารถเดินเท้าไปถึงได้ไม่นานนัก ข้าพเจ้าคิดเองว่า ที่นี่อาจเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากของเด็ก ๆ เพราะบรรยากาศภายในโรงงานส่วนที่เราสามารถเข้าถึงได้นั้น ดูน่ารัก และกลิ่นหอมหวลของช็อกโกแลตก็ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณโรงงานเลยทีเดียว ทัวร์ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น เราทุกคนก็ต้องขอตัวเดินทางต่อไป
สถานที่ถัดไปคือ Olveston House ที่นี่เป็นอดีตบ้านเศรษฐีที่มีห้องหับรวมกันมากถึง 35 ห้อง ทัวร์เริ่มต้นด้วยการผ่านเข้าไปยังห้องสมุด ซึ่งเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยของฝากน่ารักๆ มากมายให้เราได้ซื้อเอาไว้เป้นที่ระลึกกันได้ที่ห้องนี้ จากนั้นเจ้าหน้าที่พาทัวร์ก็มาถึง นำเราเข้าเยี่ยมชม พร้อมบรรยายห้องต่างๆ มากถึง 12 ห้องด้วยกัน บอกเล่าเรื่องราวความยากลำบากในการบูรณะฟื้นฟูบ้านหลังนี้ให้กลับสวยงามดังเดิมของ Edwardian Era ผู้ซึ่งหลงรักบ้านใหญ่หลังนี้ และพยายามบูรณะ ฟื้นฟู จนบ้านอยู่ในสภาพที่ดีอย่างในปัจจุบัน … ภายในคฤหาสถ์ไม่อนุญาตให้มีการถ่ายภาพ จึงเก็บภาพมาได้เพียงเท่านี้
จากนั้น เป็นเวลาที่เราจะได้ขับออกไปเที่ยวชมสิ่งสวยงามและวิวทิวทัศน์นอกเมืองกันบ้าง Larnach Castle ก็น่าจะเป็นจุดหมายปลายทางที่เก๋ไม่น้อย เพราะที่นี่เป็นปราสาทแห่งเดียวในประเทศนิวซีแลนด์กันเลยทีเดียว ข้าพเจ้าสงสัย จึงได้สอบถามกับไกด์ที่นำชมปราสาทนี้ว่าเหตุใด จึงเรียกปราสาท ว่า “ปราสาท” มันแตกต่างจากสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ อย่างไร เจ้าหน้าที่ก็ได้กรุณาให้ความกระจ่างว่า ปราสาท มักจะเป็นสิ่งปลูกสร้างเพื่อใช้ในการปกป้องและป้องกัน มักสร้างบนเนินดินหรือที่สูง เพื่อให้ยากกับการจู่โจม และจะมีป้อมสังเกตุการณ์ สูง ๆ อยู่เพื่อดูความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ปราสาทหลายแห่งในยุโรป มักจะมีขนาดใหญ่แข็งแรงและส่วนประกอบจะซับซ้อนมากขึ้น เช่น มีคูล้อมรอบปราสาท มีกำแพงประสาทหลายชั้น มีลานปราสาท และมีหอกลาง ฟังดูยิ่งใหญ่อลังการทีเดียว ข้าพเจ้าเห็นปราสาทในยุโรปดูกว้างใหญ่ โอ่อ่า อลังการณ์ แต่อย่างไรก็ตาม Larnach Castle เมื่อขึ้นชื่อว่าปราสาทแล้ว ที่นี่ก็ยังไม่ทิ้งลายความน่าเกรงขามลงไปเลยแม้แต่น้อย
เรารับประทานอาหารกลางวันกันที่นี่เอง สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการประสบการณ์การเที่ยวรูปแบบใหม่ ๆ ได้สัมผัสอารมย์รับประทานอาหารในปราสาทดูบ้าง ข้าพเจ้าแนะนำที่นี่เลย อาหารรสชาตดี ในบรรยากาศดีดี
เสร็จจากอาหารกลางวัน เราทุกคนวิ่งเร็วจี๋ขึ้นรถมุ่งหน้าสู่เมืองเตอะนาวทันที เส้นทางยาวไกล อากาศก็ดี วิวก็สวย ใครกันนะจะหลับลง… ‘Tractor Cricket’ กลับมาผงาดอีกครั้งในวันนี้
เมืองเต อะนาว (Te Anau) เป็นเมืองเล็ก ๆ ริมทะเลสาบเต อะนาว ทะเลสาบที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศนิวซีแลนด์ รองจากทะเลสาบเทาโปในเกาะเหนือ เมืองนี้นับเป็นเมืองหน้าด่านของเส้นทางที่เข้าถึงเขตอุทยานแห่งชาติมิลฟอร์ดซาวด์ ซึ่งในเช้าวันพรุ่งนี้ เราจะมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนกัน
เราขับรถจากเมืองดันเนดิน ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชม. ซึ่งนับว่าเป็นเวลาอันยาวนานพอสมควร เราแวะดื่มกาแฟและเข้าห้องน้ำที่เมืองกอร์ (Gore) จนเมื่อเดินทางมาถึงพระอาทิตย์ก็ตกดินไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับข้าพเจ้านับว่าน่าเสียดายอย่างมาก ที่ไม่มีแสงสว่างมากพอจะมองเห็นสภาพความสวยงามของทะเลสาบเตอะนาว และทิวทัศน์โดยรอบของเมืองนี้ทันทีที่มาถึง
ในคืนนี้ คณะของเราจะพักกันที่โรงแรม Distinction Hotel Te Anau นับเป็นโรงแรม 4 ดาว ติดวิวทะเลสาปเตอะนาว สวยงาม และมีโลเคชั่นอยู่ในตัวเมือง สามารถเดินเที่ยวชม หรือปั่นจักรยานชมเมืองโดยรอบได้เลยแล้วแต่ความชอบและความสนใจส่วนตัวได้อย่างง่ายดาย
หลังจากทุกคนได้ห้องพักเป็นของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลานัดหมายเพื่อทานอาหารเย็นที่โรงแรมร่วมกัน ซึ่งเมนูที่เสิร์ฟในวันนี้ก็คือ…ขนมปังอบ หั่นเป็นชิ้น ทานคู่กับดิปปิ้งหลากรสชาติ ตามด้วย เนื้อปลาแซลม่อน สไลด์เนื้อเอามาทำเป็นลูกกลม ๆ คล้ายลูกชิ้น ไส้ด้านในเป็นแซลม่อนบด ราดด้วยน้ำเกรวี่รสชาติกลมกล่อม ตามด้วยสเต็กเนื้อกวาง ย่างแบบมีเดี้ยม สุกกำลังดี กลิ่นไม่คาว ข้าพเจ้าทานกับน้ำจิ้มซีฟู้ดที่นำมาจากเมืองไทย ตบท้ายด้วยของหวานเป็นไอศกรีมวานิลาวางไว้บนซอฟครีมช็อกโกแลตกับวาฟเฟิลบางกรอบ ราดด้วยครีมคาราเมลและซอสช็อกโกแลต รสไม่หวานมากปนขมติดปลายลิ้นเล็ก ๆ ปกติข้าพเจ้าไม่แตะต้องของหวาน แต่มื้อเย็นสุดพิเศษวันนี้ ทำข้าพเจ้าอร่อยจนลืมอิ่มไปเลย
มื้อค่ำสุดอลังการจบลง แต่วันนี้น่าจะเป็นวันที่เราทุกคนผ่อนคลายอย่างมากจริง ๆ และโรงแรม Distinction Hotel Te Anau ก็บริการเราทุกคนแบบเป็นกันเองสุด ๆ ที่บาร์มีเปียโนตั้งอยู่ เราทุกคนจิบไวน์ เล่นเปียโนและร้องเพลงกันอย่างสนุกสนานจนลืมเวลา ข้าพเจ้าเริ่มมึนหัวจาก Rose Vine แสนหอมหวาน จึงขอตัวกลับห้องพักสไตล์วิลล่าสุดหรูหราก่อนท่านอื่น ๆ เพราะแน่ใจว่าอ่างจากุชชี่ กำลังรอคอยข้าพเจ้าไปนอนแช่คลายความเมื่อยล้า ตลอดเวลาหลายวันอยู่อย่างแน่นอน แต่ก็ใช้เวลาไม่นานในอ่างจากุชชี่นั้น ข้าพเจ้าก็ต้องร่นถอย มาพ่ายให้กับความนุ่มสบายของเตียงนอน กับไออุ่นจากผิงที่จุดติดเอาไว้ให้ตลอดทั้งคืน
17 พ.ค. 59
เราตื่นเช้ามาในบรรยากาศหนาวเย็นไปด้วยลมของฤดูใบไม้ร่วง ใกล้เข้าหน้าหนาวเต็มตัวเข้าไปทุกขณะแล้ว ข้าพเจ้าพยายามใส่เสื้อผ้าที่หนา ๆ เข้าไว้ ใช้แผ่นอุ่นซุกไว้ตามกระเป๋ากางเกง และกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ต มันช่วยได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ดีกว่าไม่มีตัวช่วยเลย ในเวลาที่อยู่ในอากาศเพียงแค่ 3-5 องศาเซลเซียสเท่านั้น อาหารเช้า ของเช้าวันนี้เป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์เหมือนในโรงแรมทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษมากนัก ข้าพเจ้าทานกาแฟและขนมปังเพียงเล็กน้อย ก็เตรียมขนกระเป๋าเดินทางขึ้นรถ เตรียมออกไปพบกับสุดยอดความอลังการที่พระเจ้าเท่านั้น จะเป็นผู้รังสรรค์ขึ้นมาได้งดงามเพียงนี้ ถูกต้องแล้วค่ะ ข้าพเจ้ากำลังเกริ่นนำถึง “มิลฟอร์ด ซาวน์” หนึ่งในไฮไลต์ของทริปนี้นั่นเอง
การเดินทางจากเมืองเตอะนาว มุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติมิลฟอร์ด ซาวน์ นั้นไม่ยากนัก แต่เส้นทางขับรถที่ค่อนข้างยาวนานถึงกว่าสองชั่วโมงนั้น อาจทำให้คนที่เคยชินกับการขับรถเร็วในเมืองไทยหงุดหงิดได้ แต่กระนั้น ระหว่างทางก่อนที่จะถึงเรามีจุดชมวิวมากมายให้ท่านได้เลือกเก็บภาพ เช้าวันนี้ นับเป็นวันที่เราทุกคนอยู่ในการอวยพรอย่างมากจริง ๆ เพราะฟ้าใส ๆ แบบนี้ อากาศปลอดโปร่ง แบบที่ไม่มีฝนพรำเลยแบบนี้ จะมีเพียงแค่ 2 สัปดาห์ใน 1 ปีเท่านั้น อีกทั้งความสวยงามของวิวธรรมชาติสองข้างทาง รวมถึงจุดแวะเที่ยวชมต่าง ๆ ก็ติดตราตรึงในใจเราหลายจุดเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นอุโมงโฮเมอร์ ซึ่งเป็นอุโมงค์มีความยาวถึง 1.2 กิโลเมตร โครงการสร้างอุโมงค์นี้เริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1935 และถูกสร้างเสร็จในปี ค.ส. 1954 ได้ถูกใช้เป็นเส้นทางเดินทางเชื่อมต่อระหว่างมิลฟอร์ดซาวด์กับเตอะนาวและควีนส์ทาวน์นับแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน หรือ เขาเอ็กลิงตัน (Eglinton Valley) เป็นที่ราบที่รู้จักกันดีในนาม “เส้นทางไร้ภูเขา” และเป็นเส้นทางที่มีทัศนียภาพที่แสนงดงาม และที่น่าสนใจและข้าพเจ้าได้มีโอกาศแวะลงมาถ่ายรูปได้คือ ทะเลสาบ (Mirror Lake) ทะเลสาบที่ใสราวกระจก เป็นทะเลสาบที่ท่านจะสามารถมองสะท้อนภาพภูเขา ซึ่งเป็นวิวอยู่เบื้องล่าง ก่อนที่คณะจะเคลื่อนย้ายไปชมน้ำตกและโตรกหินที่มีความยิ่งใหญ่อย่าง เดอะ แชซึ่ม (The Chasm) ต้องเดินเท้าเข้าไปด้านในพอสมควร ข้าพเจ้าขอแนะนำอย่างจริงใจว่า ให้สวมรองเท้าสำหรับเดินได้สะดวกตลอดทริปเลยนะคะ
ขับรถไปแวะเที่ยวไป ถ่ายภาพสวย ๆ มาได้พอสมควร ข้าพเจ้ากดดูรูปในมือถือของตัวเองได้ไม่นาน มองดูรอบ ๆ อีกทีก็ใกล้จะเดินทางมาถึงแล้ว ข้าพลืมบอกไปนิดนึงว่า ที่พักในมิลฟอร์ด ซาวน์นั้น พอมีอยู่บ้างแต่น้อยเต็มทน รวมถึงที่พักสำหรับคนที่สนใจขับรถบ้านด้วย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านรวงต่าง ๆ ก็แทบไม่มี เหตุนี้เอง ข้าพเจ้าจึงขอแนะนำว่า ให้ท่านตัดสินใจพักที่เมืองเตอะนาว แล้วขับรถเข้ามาเที่ยวที่มิลฟอร์ด ซาวน์ แล้วกลับออกไป จะดีที่สุดค่ะ…
เรามาถึงจุดหมายปลายทางก็เวลาประมาณ 09.30 น. สำหรับผู้ที่เดินทางมาด้วยรถเช่าส่วนตัว ท่านต้องจอดรถที่ลานจอดรถซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 5-10 นาทีหากเดินด้วยเท้า ดังนั้น ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากนะคะ เผื่อเวลาจอดรถเอาไว้ด้วยค่ะ ด้านใน Station จะมีเคาน์เตอร์บริการล่องเรืออยู่ประมาณ 5-6 บริษัทใหญ่ ๆ ด้วยกัน ท่านสามารถเลือกใช้บริการตามที่ท่านชอบใจได้เลย แต่สำหรับวันนี้ เรามีนัดกับผู้ให้บริการเรืออยู่ 2 เจ้าด้วยกัน นั่นคือ Cruise Milford และ Real Journey ซึ่งความแตกต่างเห็นจะเป็นขนาดของลำเรือที่ใหญ่ผิดกัน Cruise Milford มีขนาดเล็กกว่า จุคนได้น้อยกว่า แต่ก็มีความเป็นส่วนตัว เรียบหรูมากกว่า และไม่มีบริการอาหารบนเรือ มีเพียงชา กาแฟ และเบเกอรี่แสนอร่อยคอยให้บริการอยู่เท่านั้น ในขณะที่ Real Journey เป็นเรือขนาดใหญ่ จุคนได้หลักกว่าร้อย จึงมีความพลุกพล่าน วุ่นวาย และสับสนอยู่มากมายกว่า รวมถึงมีบริการอาหารบนเรือระหว่างที่เรือล่องไปชมความความยิ่งใหญ่อลังการของมิลฟอร์ด ซาวน์ด้วย…
การล่องเรือตั้งแต่เริ่มต้น จนกระทั่งเรือกลับเข้าสู่ฝั่งอีกครั้ง กินเวลาเพียงสั้น ๆ เพียง 1 ชั่วโมง 45 นาทีเท่านั้น หลังจากนั้น เราออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองไฮไลต์อีกเมืองหนึ่งของเกาะใต้ ซึ่งคงไม่ผิดเลยหากจะกล่าวว่า มาเที่ยวเกาะใต้ นิวซีแลนด์ แต่ไม่ได้มาเยือนเมืองควีนส์ทาวน์ ก็นับว่ามาไม่ถึงเกาะใต้ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองเล็กน่ารักสไตล์อังกฤษที่ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาขนาดใหญ่ที่ชื่อ The Remarkables ซึ่งอุดมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงามบนชายฝั่งของ ทะเลสาบวาคาติปู (Wakatipu) จึงทำให้วิวทิวทัศน์ของที่นี่งดงามราวกับภาพฝันเลยทีเดียว อีกทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ก็มากมาย รองรับกับความต้องการของนักท่องเที่ยวได้ทุกช่วงอายุและทุกสไตล์การเที่ยวอย่างแท้จริง
การเดินทางจากมิลฟอร์ด ซาวน์ มายังเมืองควีนส์ทาวน์ ต้องขับผ่านผ่านเมืองเตอะนาวกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ดูไปแล้ว เสมือนว่าเมืองเตอะนาว จะนับเป็นเมืองหน้าด่านของการเที่ยวในอุทยานแห่งชาติมิลฟอร์ด ซาวน์ ก็คงไม่ผิดนัก เราใช้เวลาขับรถประมาณ 4 ชั่วโมง บนเส้นทางที่สวยงาม วิวธรรมชาติหาที่ติไม่ได้เลย แต่กระนั้น ความเหนื่อยล้าจากการขับรถเที่ยวมาหลายวันแล้ว ก็ทำให้ข้าพเจ้าง่วงนอนจนได้ ข้าพเจ้าคิดว่าคนอื่นก็เป็น จึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะสนอกสนใจที่จะเล่นเกม ‘Tractor Cricket’ กันเป็นพิเศษ ตลอดเวลายาวไกลเพื่อมุ่งหน้าสู่ควีนส์ทาวน์
ประมาณห้าโมงเย็นของวันนี้ เรามาถึงที่ควีนส์ทาวน์ ฟ้าเริ่มมืดลงตามฤดูกาลนี้ที่ฟ้ามืดเร็ว ไม่เหมือนช่วงฤดูร้อนที่กว่าพระอาทิตย์จะอ้อยอิ่งตกดินลงไปได้ก็ราว ๆ สองทุ่ม เราทุกคนมุ่งหน้าสู่โรงแรม Millennium Hotel Queenstown จัดการเช้คอิน และนำกระเป๋าเดินทางขึ้นไปเก็บไว้บนห้อง มีเวลาล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย ก่อนออกเดินทางไปยัง Skyline Gondola Station เพื่อขึ้นกระเช้ากอนโดล่าสู่ยอดเข้าบ็อบ
หกโมงเย็น เรานัดเจอกันที่ล็อบบี้ของโรงแรม มุ่งหน้าสู่ความสวยงามบนยอดเขาบ็อบ หรือที่เรียกกันว่า Bob’s Peak เราซื้อตั๋วและต่อคิวขึ้นกระเช้า ซึ่งนั่งได้กระเช้าละ 4 คน เวลาที่ถึงคิวของเรา ต้องก้าวขาขึ้นไปนั่งเร็ว ๆ เพราะกระเช้าจะไม่หยุดสนิทให้ ดังนั้น หากช้ามากนัก อาจทำให้คิวข้างหลังขึ้นไม่ทันได้ ตัวกระเช้าหมุนขึ้นไปถึงส่วนบน เราทุกคนลงมาและต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง ที่ฟ้ามืดแล้ว ทำให้ไม่สามารถเล่นลูจได้ แต่ข้าพเจ้าไม่เสียใจเท่าไหร่นัก เพราะได้เล่นมาแล้วที่โรโตรัว เกาะเหนือ เราขึ้นไปถ่ายภาพมุมสูงของควีนส์ทาวน์ ชื่นชมความงามอยู่ครู่หนึ่งก็กลับลงมาทานอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ที่ Skyline Restaurant อาหารมามากมาย รสชาติอร่อยให้ท่านได้เลือกทานแบบไม่อั้น ใช้เวลาที่นี่เนิ่นนานพอควรก็กลับลงมาพักผ่อน ออมแรงไว้สำหรับการเที่ยวในวันถัดไป
18 พ.ค.59
เช้าวันนี้ข้าพเจ้าตื่นเต้น และกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ ข้าพเจ้าทานอาหารเช้ามากกว่าทุกวัน ไม่ใช่เพราะอาหารอร่อยเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะข้าพเจ้าเห็นรายการกิจกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่อยากปล่อยเวลาให้ผ่านไปเสียเปล่าเลยแม้แต่วินาทีเดียว อากาศเช้าวันนี้อยู่ที่ 6-10 องศาเซลเซียส เราเริ่มต้นกิจกรรมแรกของวันโดยการขับรถมุ่งหน้าสู่เมืองเหมืองแร่เก่าอย่างแอร์โร่วทาวน์ ใช้เวลาขับรถแป๊บเดียว 20 นาทีเท่านั้น ก็ได้พบกับเจ้าหน้าที่ของ Nomad Safari ที่จะนำเราทุกคนขึ้นรถ 4WD ท่าทางแข็งแรงไปยังเส้นทาง Tobins Track ที่จะต้องนำรถเฉพาะ และมีไกด์ขับนำท่านขึ้นไปเท่านั้น เนื่องจากเป็นทางเลาะเลียบหน้าผาชัน ไม่แนะนำสำหรับท่านที่กลัวความสูงหรือไม่ชอบความหวาดเสียวนะคะ จากนั้น เราหยุดพักที่แม่น้ำแอร์โร่ว (Arrow River) รับประทานชา กาแฟ พร้อมคุ้กกี้โฮมเมดแสนอร่อยที่ไกด์จัดเตรียมไว้ให้เรา ที่นี่ ไกด์จะสาธิตวิธีการร่อนทองให้เราชมและทดลองทำได้ การร่อนทองนิยมมาก ๆ ที่บริเวณนี้ตั้งแต่สมัยที่การขุดเหมืองทองรุ่งเรืองในอดีต ข้าพเจ้าได้แต่มองดูไม่กล้าเอาตัวลงไปแตะต้องน้ำ เพราะมันต้องเย็นมากแน่ ๆ
เสร็จจากการทัวร์กึ่งแอดเวนเจอร์ เรามุ่งหน้าไปยัง Gibston Valley เพื่อเข้าร่วมทัวร์ Gibston Valley Wine Cave Tour ที่นี่มีไร่ไวน์ขนาดเล็กที่ผลิตไวน์ชั้นยอดของนิวซีแลนด์อยู่ ต้นองุ่นขาวองุ่นแดง ถูกตัดผลไปทำไวน์แล้วกำลังรอผลผลิตรุ่นใหม่ ๆ ไวน์ของที่นี่ถูกบ่มในถังไม้โอ๊ค และเก็บเป็นอย่างดีในถ้ำเพื่อรักษาอุณหภูมิ นี่เองเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ไวน์มีรสชาติดีติดอันดับโลก เราชมการเก็บไวน์ ชิมไวน์ไปหลายขนาน ก็นับเป็นการเรียกน้ำย่อยชั้นดีได้กระมัง เพราะข้าพเจ้าหิวข้าวแล้ว แต่ก็ต้องอดใจเอาไว้ให้มาก เพราะเราต้องเดินทางไปยังโกลฟีลด์ เพื่อทานอาหารกลางวันที่ร้าน Wind Eart Winery and Oakstave Barrel Lunch อันมีชื่อเสียงเพราะได้เชฟฝีมือดี มารังสรรค์เมนูอาหารชั้นเลิศจากวัตถุดิบชั้นยอด ให้ทุกท่านได้ลิ้มรสกันอย่างเต็มอิ่ม รับประทานพร้อมไวน์ ซึ่งอาหารแต่ละเมนูก็ต้องรับประทานคู่กับไวน์ต่างชนิดกัน และภาพด้านล่าง คงบรรยายความรู้สึกนับพันไดมากกว่ากว่าข้าพเจ้าสาธยายผ่านตัวอักษรเป็นแน่
หลังอาหารกลางวันจบลง ข้าพเจ้าเลือกซื้อไวน์ 2 ชนิดเป็นของฝาก เรามีเวลาย่อยอาหารเล็กน้อย ก่อนเริ่มกิจกรรมแอดเวนเจอร์อีกหนึ่งอย่าง นั่นคือการนั่งเรือเร็ว Goldfields Jet Boat แล่นไปบนแม่น้ำคาวารัว กิจกรรมนี้สนุกสนานและตื่นเต้นอย่างมาก หลังกิจกรรมท่านก็จะได้รับภาพความประทับใจติดไม้ติดมือกลับบ้านเป็นที่ระลึกด้วยเช่นกัน Goldfields Jet Boat จะมีความแตกต่างจาก Shotovet Jet เล็กน้อยตรงที่ความตื่นเต้นของ Goldfields Jet Boat จะน้อยกว่านิดหนึ่ง และแล่นไปบนแม่น้ำคนละสายกัน วิวทิวทัศน์สองข้างทางต่างกันก็เท่านั้นเอง
หลังจากกิจกรรม เราเดินทางกลับเข้าสู่ตัวเมืองควีนส์ทาวน์อีกครั้ง ระหว่างทางเราแวะไปยัง A.J. Hakett Bungy Jump ซึ่งถือว่าเป็นจุดกระโดดบันจี้จัมพ์ที่แรกในโลก ข้าพเจ้าได้มีโอกาสทดลองกระโดดดูและได้ภาพสวย ๆ กลับมาเป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยทำสำเร็จมาแล้ว
แต่ด้วยเวลาแห่งความสุขที่มักจะผ่านไปเร็วเสมอทำให้เราต้องทำกิจกรรมต่อไปกันแล้ว…ล่องเรือ TSS Earnslaw พร้อมรับประทานอาหารเย็นและดูโชว์ตัดขนแกะที่ Walter Peak ซึ่งก็แน่นอนว่า ล่องเรือไปบนแม่น้ำวาคาทิปูก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของเมืองนี้
เราขึ้นเรือกันเวลาหกโมงเย็น และใช้เวลาทั้งสิ้นสำหรับกิจกรรมนี้ประมาณสามชั่วโมงครึ่ง เรือกลไฟนี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเรือไททานิกเลยทีเดียว แม้อากาศหนาว หากเข้าไปใกล้ ๆ เครื่องเดินเรือที่มีไอน้ำอุ่น ๆ ลอยคลุ้งอยู่ก็ช่วยคลายหนาวได้เป็นอย่างดี เดินเรือไปได้ซักพักก็จะถึง Walter Peak ที่นี่มีคฤหาสน์ผู้ดีสมัยก่อนตั้งอยู่ และที่นี่เองเรารับประทานอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์กัน เสร็จจากรับประทานอาหาร เราเดินเท่านิดหน่อยไปยัง Homested เพื่อชมสาธิตการตัดขนแกะ โชว์สนุกต้อนแกะ และซื้อของฝากกลับบ้านกันแล้ว
กว่าจะกลับถึงฝั่งเวลาก็ผ่านไปจนถึงประมาณสี่ทุ่มแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยและเพลีย จากอาการท้องเสียและเดินทางมานานหลายวัน จึงกลับเข้าที่พัก และหลับไปอย่างไม่ยากเย็นนัก…เป็นการจบท้ายทริปยาวนานอันแสนประทับใจ
19 พ.ค.59
ข้าพเจ้าเช้คเอ้าท์ออกจากที่พักในเวลา 06.00 น. เพื่อนั่งเครื่องบินภายในประเทศไปยังเมืองโอ๊คแลนด์ เกาะเหนือของนิวซีแลนด์ แผนการเที่ยวของข้าพเจ้าวันนี้ คือเมื่อลงเครื่องในเวลา 12.00 น.แล้ว ข้าพเจ้าจะเอากระเป๋าไปเก็บยังที่พัก และออกเดินทางไปยังท่าเรือเพื่อข้ามฝั่งไปยังเกาะไวฮิกิ แต่แผนการทั้งสิ้นของข้าพเจ้าก็ต้องจบลง เพราะฝนตัวดี โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินซื้ออาหารเย็นเล็กน้อย จากย่านควีนสตรีท มารับประทานในห้องพัก จัดกระเป๋าเดินทางเพื่อเดินทางกลับประเทศไทยในวันรุ่งขึ้น และต้องยอมแพ้กับลมฟ้าอากาศแต่โดยดี
20 พ.ค.59
เก้าโมงเช้าวันนี้ข้าพเจ้านัดเพื่อนที่เดินทางด้วยกันมารับที่หน้าโรงแรม เพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามบินนานาชาติโอ๊คแลนด์ ผู้เดินทางแน่นขนัดมากเป็นพิเศษ ทำให้เราต้องรอต่อเครื่องกลับไทยเป็นเวลานานกว่าปกติ หลังจากเช้คอินและโหลดสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เรารับประทานอาหารเล็กน้อยที่เลาจ์ของแอร์นิวซีแลนด์ ก่อนเดินทางกลับบ้านด้วยสายการบินไทย ในเวลา 12.30 น.
ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจที่ได้กลับบ้าน จบทริปยาวนานลงอย่างประทับใจและคงลืมได้ยากยิ่ง…นิวซีแลนด์ ดินแดนต้องห้ามพลาดสำหรับนักท่องโลกทุกคน
********************************************